ภาษาไทย

การสร้างคำในภาษาไทย

     คำที่ใช้ในภาษาไทยดั้งเดิม ส่วนมากจะเป็นคำพยางค์เดียว เช่น พี่น้อง เดือนดาว จอบไถ
หมูหมา กิน นอน ดี ชั่ว สอง สาม เป็นต้น เมื่อโลกวิวัฒนาการ มีสิ่งแปลกใหม่เพิ่มขึ้น
ภาษาไทยก็จะต้องพัฒนาทั้งรูปคำและการเพิ่มจำนวนคำ เพื่อให้มีคำใช้ในการสื่อสาร
ให้เพียงพอ กับการเปลี่ยนแปลงของวัตถุสิ่งของและเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยการสร้างคำ ยืมคำและเปลี่ยนแปลงรูปคำซึ่งจะมีรายละเอียดดังนี้

แบบสร้างคำ
     แบบสร้างคำ คือ วิธีการนำอักษรมาประสมเป็นคำเกิดความหมายและเสียงของแต่ละ พยางค์ ใน ๑ คำ จะต้องมีส่วนประกอบ ๓ ส่วน เป็นอย่างน้อย คือ สระ พยัญชนะและวรรณยุกต์ อย่างมากไม่เกิน ๕ ส่วน คือ สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ ตัวสะกด ตัวการันต์

รูปแบบของคำ
     คำไทยที่ใช้อยู่ปัจจุบันมีทั้งคำที่เป็นคำไทยดั้งเดิม คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ คำศัพท์
เฉพาะทางวิชาการคำที่ใช้เฉพาะในภาษาพูด คำชนิดต่าง ๆ เหล่านี้มีชื่อเรียกตามลักษณะและ
แบบสร้างของคำ เช่น คำมูล คำประสม คำสมาส คำสนธิ คำพ้องรูป คำพ้องเสียง คำเหล่านี้มี
ลักษณะพิเศษเฉพาะ ผู้เรียนจะเข้าใจลักษณะแตกต่างของคำเหล่านี้ได้จากแบบสร้างของคำ

ความหมายและแบบสร้างของคำชนิดต่าง ๆ
คำมูล
     คำมูล คือ คำ ๆ เดียวที่มิได้ประสมกับคำอื่น อาจมี ๑ พยางค์ หรือหลายพยางค์ก็ได้แต่
่เมื่อแยกพยางค์แล้วแต่ละพยางค์ไม่มีความหมาย คำภาษาไทยที่ใช้มาแต่เดิมส่วนใหญ่ เป็นคำมูลที่มีพยางค์เดียวโดด ๆ เช่น พ่อ แม่ กิน เดิน

     ตัวอย่างแบบสร้างของคำมูล
     คน มี ๑ พยางค์ คือ คน
     สิงโต มี ๒ พยางค์ คือ สิง + โต
     นาฬิกา มี ๓ พยางค์ คือ นา + ฬิ + กา
     ทะมัดทะแมง มี ๔ พยางค์ คือ ทะ + มัด + ทะ + แมง
     กระเหี้ยนกระหือรือ มี ๕ พยางค์ คือ กระ + เหี้ยน + กระ + หือ + รือ
     จากตัวอย่างแบบสร้างของคำมูล จะเห็นว่าเมื่อแยกพยางค์จากคำแล้ว แต่ละพยางค์ไม่มี
ความหมายในตัวหรืออาจมีความหมายไม่ครบทุกพยางค์ คำเหล่านี้จะมีความหมายก็ต่อเมื่อ
นำทุกพยางค์มารวมเป็นคำ ลักษณะเช่นนี้ ถือว่าเป็นคำเดียวโดด ๆ

คำประสม
     คือ คำที่สร้างขึ้นใหม่โดยนำคำมูลตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปมาประสมกัน เกิดเป็นคำใหม่ขึ้นอีก
คำหนึ่ง
     ๑. เกิดความหมายใหม่
     ๒. ความหมายคงเดิม
     ๓. ความหมายให้กระชับขึ้น

ตัวอย่างแบบสร้างคำประสม
     แม่ยาย เกิดจากคำมูล ๒ คำ คือ แม่ + ยาย
     ลูกน้ำ เกิดจากคำมูล ๒ คำ คือ ลูก + น้ำ
     ภาพยนตร์จีน เกิดจากคำมูล ๒ คำ คือ ภาพยนตร์ + จีน
     จากตัวอย่างแบบสร้างคำประสม จะเห็นว่าเมื่อแยกคำประสมออกจากกัน จะได้คำมูลซึ่ง
แต่ละคำมีความหมายในตัวเอง
     ชนิดของคำประสม
     การนำคำมูลมาประสมกัน เพื่อให้เกิดคำใหม่ขึ้นเรียกว่า “คำประสม” นั้น มีวิธีสร้างคำ
ตามแบบสร้าง อยู่ ๕ วิธีด้วยกัน คือ
     ๑. คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูป เสียง และความหมายต่างกัน เมื่อประสมกันเกิดเป็น
ความหมายใหม่ ไม่ตรงกับความหมายเดิม เช่น
     แม่ หมายถึง หญิงที่ให้กำเนิดลูก
     ยาย หมายถึง แม่ของแม่
     แม่ + ยาย  ได้คำใหม่ คือ แม่ยาย หมายถึง แม่ของเมีย
คำประสมชนิดนี้มีมากมาย เช่น แม่ครัว ลูกเรือ พ่อตา มือลิง ลูกน้ำ ลูกน้อง ปากกา
     ๒. คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูป เสียง และความหมายต่างกัน เมื่อประสมกันแล้วเกิด ความหมายใหม่แต่ยังคงรักษาความหมายของคำเดิมแต่ละคำได้ เช่น
หมอ หมายถึง ผู้รู้ ผู้ชำนาญ ผู้รักษาโรค
ดู หมายถึง ใช้สายตาเพื่อให้เห็น
หมอ + ดู ได้คำใหม่ คือ หมอดู หมายถึง ผู้ทำนายโชคชะตาราศี คำประสมชนิดนี้
เช่น หมอความ นักเรียน ชาวนา ของกิน ช่างแท่น ร้อนใจ เป็นต้น
     ๓. คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูป เสียง ความหมายเหมือนกัน เมื่อประสมแล้วเกิด
ความหมายต่างจากความหมายเดิมเล็กน้อย อาจมีความหมายทางเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้
การเขียนคำประสมแบบนี้จะใช้ไม้ยมก (ๆ) เติมข้างหลัง เช่น

     เร็ว หมายถึง รีบ ด่วน
     เร็ว ๆ หมายถึง รีบ ด่วนยิ่งขึ้น เป็นความหมายที่เพิ่มขึ้น
     ดำ หมายถึง สีดำ
     ดำ ๆ หมายถึง ดำไม่สนิท เป็นความหมายในทางลดลง คำประสมชนิดนี้ เช่น
ช้า ๆ  ซ้ำ ๆ ดี ๆ น้อย ๆ ไป ๆ มา ๆ เป็นต้น
      ๔. คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูปและเสียงต่างกัน แต่มีความหมายเหมือนกัน เมื่อนำ
มาประสมกันแล้วความหมายไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น
     ยิ้ม หมายถึง แสดงให้ปรากฏว่าชอบใจ
     แย้ม หมายถึง คลี่ เผยอปากแสดงความพอใจ
     ยิ้ม + แย้ม ได้คำใหม่ คือ ยิ้มแย้ม หมายถึง ยิ้มอย่างชื่นบาน คำประสมชนิดนี้มีมากมาย เช่น โกรธเคือง รวดเร็ว แจ่มใส เสื่อสาด บ้านเรือน วัดวาอาราม ถนนหนทาง เป็นต้น
     ๕. คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูป เสียง และความหมายต่างกัน เมื่อนำมาประสมจะตัด
พยางค์หรือย่นพยางค์ให้สั้นเข้า เช่น คำว่า ชันษา มาจากคำว่า ชนม+พรรษา
     ชนม หมายถึง การเกิด
     พรรษา หมายถึง ปี
     ชนม + พรรษา ได้คำใหม่ คือ ชันษา หมายถึง อายุ คำประสมประเภทนี้   ได้แก่
     เดียงสา มาจาก เดียง+ภาษา
     สถาผล มาจาก สถาพร+ผล
     เปรมปรีดิ์ มาจาก เปรม+ปรีดา

คำสมาส
     คำสมาสเป็นวิธีสร้างคำในภาษาบาลีและสันสกฤต โดยนำคำตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปมาประกอบ
กันคล้ายคำประสม แต่คำที่นำมาประกอบแบบคำสมาสนั้น นำมาประกอบหน้าศัพท์ การแปล
คำสมาสจึงแปลจากข้างหลังมาข้างหน้า เช่น
     บรม (ยิ่งใหญ่) + ครู = บรมครู (ครูผู้ยิ่งใหญ่)
     สุนทร (ไพเราะ) + พจน์ (คำพูด) = สุนทรพจน์ (คำพูดที่ไพเราะ)
     การนำคำมาสมาสกัน อาจเป็นคำบาลีสมาสกับบาลี สันสกฤตสมาสกับสันสกฤต หรือบาลี
สมาสกับสันสกฤตก็ได้
     ในบางครั้ง คำประสมที่เกิดจากคำไทยประสมกับคำบาลีหรือคำสันสกฤตบางคำ มีลักษณะ
คล้ายคำสมาสเพราะแปลจากข้างหลังมาข้างหน้า เช่น ราชวัง แปลว่า วังของพระราชา อาจจัด
ว่าเป็นคำสมาสได้ ส่วนคำประสมที่มีความหมายจากข้างหน้าไปข้างหลังและมิได้ทำให้ ความหมาย ผิดแผกแม้คำนั้นประสมกับคำบาลีหรือสันสกฤตก็ถือว่าเป็นคำประสม เช่น มูลค่า ทรัพย์สิน เป็นต้น
การเรียงคำตามแบบสร้างของคำสมาส
     ๑. ถ้าเป็นคำที่มาจากบาลีและสันสกฤต ให้เรียงบทขยายไว้ข้างหน้า เช่น
          อุทกภัย หมายถึง ภัยจากน้ำ
          อายุขัย หมายถึง สิ้นอายุ
     ๒. ถ้าพยางค์ท้ายของคำหน้าประวิสรรชนีย์ ให้ตัดวิสรรชนีย์ออก เช่น
          ธุระ สมาสกับ กิจ เป็น ธุรกิจ
          พละ สมาสกับ ศึกษา เป็น พลศึกษา
     ๓. ถ้าพยางค์ท้ายของคำหน้ามีตัวการันต์ให้ตัดการัตน์ออกเมื่อเข้าสมาส เช่น
          ทัศน์ สมาสกับ ศึกษา เป็น ทัศนศึกษา
          แพทย์ สมาสกับ สมาคม เป็น แพทยสมาคม
     ๔. ถ้าคำซ้ำความ โดยคำหนึ่งไขความอีกคำหนึ่ง ไม่มีวิธีเรียงคำที่แน่นอน เช่น
          นร (คน) สมาสกับ ชน (คน) เป็น นรชน (คน)
          วิถี (ทาง) สมาสกับ ทาง (ทาง) เป็น วิถีทาง (ทาง)
          คช (ช้าง) สมาสกับ สาร (ช้าง) เป็น คชสาร (ช้าง)
การอ่านคำสมาส
     การอ่านคำสมาสมีหลักอยู่ว่า ถ้าพยางค์ท้ายของคำลงท้ายด้วย สระอะ, อิ, อุ เวลาเข้า
สมาสให้อ่านออกเสียง อะ อิ อุ นั้นเพียงครึ่งเสียง เช่น
     เกษตร สมาสกับ ศาสตร์ เป็น เกษตรศาสตร์ อ่านว่า กะ-เสด-ตระ-สาด
     อุทก สมาสกับ ภัย เป็น อุทกภัย อ่านว่า อุ-ทก-กะ-ไพ
     ประวัติ สมาสกับ ศาสตร์ เป็น ประวัติศาสตร์ อ่านว่า ประ-หวัด-ติ-สาด
     ภูมิ สมาสกับ ภาค เป็น ภูมิภาค อ่านว่า พู-มิ-พาก
     เมรุ สมาสกับ มาศ เป็น เมรุมาศ อ่านว่า เม-รุ-มาด
     เชตุ สมาสกับ พน เป็น เชตุพน อ่านว่า เช-ตุ-พน
ข้อสังเกต
     ๑. มีคำไทยบางคำ ที่คำแรกมาจากภาษาบาลีสันสกฤต ส่วนคำหลังเป็นคำไทย คำเหล่านี้ ได้แปลความหมายตามกฎเกณฑ์ของคำสมาส แต่อ่านเหมือนกับว่าเป็นคำสมาส ทั้งนี้ เป็นการอ่านตามความนิยม เช่น
     เทพเจ้า อ่านว่า เทพ-พะ-เจ้า
     พลเรือน อ่านว่า พล-ละ-เรือน
     กรมวัง อ่านว่า กรม-มะ-วัง
     คำเหล่านี้ ผู้เรียนจะสามารถศึกษาพวกกฎเกณฑ์ได้ต่อเมื่อเรียนชั้นสูงขึ้น
      ๒. โดยปกติการอ่านคำไทยที่มีมากกว่า ๑ พยางค์ มักอ่านตรงตัว เช่น
     บากบั่น อ่านว่า บาก-บั่น
     ลุกลน อ่านว่า ลุก-ลน
     แต่มีคำไทยบางคำที่เราอ่านออกเสียงตัวสะกดด้วย ทั้งที่เป็นคำไทยมิใช่คำสมาสซึ่ง
ผู้เรียนจะต้องสังเกต เช่น
     ตุ๊กตา อ่านว่า ตุ๊ก-กะ-ตา
     จักจั่น อ่านว่า จัก-กะ-จั่น
     จั๊กจี้ อ่านว่า จั๊ก-กะ-จี้
     ชักเย่อ อ่านว่า ชัก-กะ-เย่อ
     สัปหงก อ่านว่า สับ-ปะ-หงก

คำสนธิ
     การสนธิ คือ การเชื่อมเสียงให้กลมกลืนกันตามหลักไวยกรณ์บาลีสันสกฤต เป็นการเชื่อม อักษรให้ต่อเนื่องกันเพื่อตัดอักษรให้น้อยลง ทำให้คำพูดสละสลวย นำไปใช้ประโยชน์ในการแต่ง
คำประพันธ์
     คำสนธิ เกิดจากการเชื่อมคำในภาษาบาลีและสันสกฤตเท่านั้น ถ้าคำที่นำมาเชื่อมกัน ไม่ใช่ภาษาบาลีสันสกฤต ไม่ถือว่าเป็นสนธิ เช่น กระยาหาร มาจากคำ กระยา + อาหาร ไม่ใช่สนธิ เพราะ กระยาเป็นคำไทยและถึงแม้ว่าคำที่นำมารวมกันแต่ไม่ได้เชื่อมกัน เป็นเพียงประสมคำเท่านั้น ก็ไม่ถือว่าสนธิ เช่น
     ทิชาชาติ มาจาก ทีชา + ชาติ
     ทัศนาจร มาจาก ทัศนา + จร
     วิทยาศาสตร์ มาจาก วิทยา + ศาสตร์
แบบสร้างของคำสนธิที่ใช้ในภาษาบาลีและสันสกฤต มีอยู่ ๓ ประเภท คือ
     ๑. สระสนธิ
     ๒. พยัญชนะสนธิ
     ๓. นิคหิตสนธิ
     สำหรับการสนธิในภาษาไทย ส่วนมากจะใช้แบบสร้างของสระสนธิ
แบบสร้างของคำสนธิที่ใช้ในภาษาไทย
๑. สระสนธิ
     การสนธิสระทำได้ ๓ วิธี คือ
     ๑.๑ ตัดสระพยางค์ท้าย แล้วใช้สระพยางค์หน้าของคำหลังแทน เช่น
          มหา สนธิกับ อรรณพ เป็น มหรรณพ
          นร สนธิกับ อินทร์ เป็น นรินทร์
          ปรมะ สนธิกับ อินทร์ เป็น ปรมินทร์
          รัตนะ สนธิกับ อาภรณ์ เป็น รัตนาภรณ์
          วชิร สนธิกับ อาวุธ เป็น วชิราวุธ
          ฤทธิ สนธิกับ อานุภาพ เป็น ฤทธานุภาพ
          มกร สนธิกับ อาคม เป็น มกราคม
     ๑.๒ ตัดสระพยางค์ท้ายของคำหน้า แล้วใช้สระพยางค์หน้าของคำหลังแต่เปลี่ยนรูป อะ
เป็น อา อิ เป็น เอ อุ เป็น อู หรือ โอ ตัวอย่างเช่น
     เปลี่ยนรูป อะ เป็นอา
          เทศ สนธิกับ อภิบาล เป็น เทศาภิบาล
          ราช สนธิกับ อธิราช เป็น ราชาธิราช
          ประชา สนธิกับ อธิปไตย เป็น ประชาธิปไตย
          จุฬา สนธิกับ อลงกรณ์ เป็น จุฬาลงกรณ์
     เปลี่ยนรูป อิ เป็น เอ
          นร สนธิกับ อิศวร เป็น นเรศวร
          ปรม สนธิกับ อินทร์ เป็น ปรเมนทร์
          คช สนธิกับ อินทร์ เป็น คเชนทร์
     เปลี่ยนรูป อุ เป็น อู หรือ โอ
          ราช สนธิกับ อุปถัมภ์ เป็น ราชูปถัมภ์
          สาธารณะ สนธิกับ อุปโภค เป็น สาธารณูปโภค
          วิเทศ สนธิกับ อุบาย เป็น วิเทโศบาย
          สุข สนธิกับ อุทัย เป็น สุโขทัย
          นย สนธิกับ อุบาย เป็น นโยบาย
     ๑.๓ เปลี่ยนสระพยางค์ท้ายของคำหน้า อิ อี เป็น ย อุ อู เป็น ว แล้วใช้สระ พยางค์หน้าของ
คำหลังแทน เช่น
     เปลี่ยน อิ อี เป็น ย
          มต ิ สนธิกับ อธิบาย เป็น มัตยาธิบาย
          รังสี สนธิกับ โอภาส เป็น รังสโยภาส, รังสิโยภาส
          สามัคคี สนธิกับ อาจารย์ เป็น สามัคยาจารย์
     เปลี่ยน อุ อู เป็น ว
          สินธุ สนธิกับ อานนท์ เป็น สินธวานนท์
          จักษุ สนธิกับ อาพาธ เป็น จักษวาพาธ
          ธนู สนธิกับ อาคม เป็น ธันวาคม
๒. พยัญชนะสนธิ
     พยัญชนะสนธิในภาษาไทยมีน้อย คือเมื่อนำคำ ๒ คำมาสนธิกัน ถ้าหากว่าพยัญชนะ ตัวสุดท้าย ของคำหน้ากับพยัญชนะตัวหน้าของคำหลังเหมือนกัน ให้ตัดพยัญชนะที่เหมือนกัน ออกเสียตัวหนึ่ง เช่น
          เทพ สนธิกับ พนม เป็น เทพนม
          นิวาส สนธิกับ สถาน เป็น นิวาสถาน
๓. นิคหิตสนธิ
     นิคหิตสนธิในภาษาไทย ใช้วิธีเดียวกับวิธีสนธิในภาษาบาลีและสันสกฤต คือ ให้สังเกต
พยัญชนะตัวแรกของคำหลังว่าอยู่ในวรรคใด แล้วแปลงนิคหิตเป็นพยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคนั้น
เช่น
          สํ สนธิกับ กรานต เป็น สงกรานต์
          (ก เป็นพยัญชนะวรรค กะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคกะ คือ ง)
          สํ สนธิกับ คม เป็น สังคม
          (ค เป็นพยัญชนะวรรค กะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคกะ คือ ง)
          สํ สนธิกับ ฐาน เป็น สัณฐาน
          (ฐ เป็นพยัญชนะวรรค ตะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคกะ คือ ณ)
          สํ สนธิกับ ปทาน เป็น สัมปทาน
          (ป เป็นพยัญชนะวรรค ปะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคกะ คือ ม)
     ถ้าพยัญชนะตัวแรกของคำหลังเป็นเศษวรรค ให้คงนิคหิต (_ํ ) ตามรูปเดิม อ่านออกเสียง อัง
หรือ อัน เช่น
          สํ สนธิกับ วร เป็น สังวร
          สํ สนธิกับ หรณ์ เป็น สังหรณ์
          สํ สนธิกับ โยค เป็น สังโยค
     ถ้า สํ สนธิกับคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ จะเปลี่ยนนิคหิตเป็น ม เสมอ เช่น
          สํ สนธิกับ อิทธิ เป็น สมิทธิ
          สํ สนธิกับ อาคม เป็น สมาคม
          สํ สนธิกับ อาส เป็น สมาส
          สํ สนธิกับ อุทัย เป็น สมุทัย
คำแผลง
     คำแผลง คือ คำที่สร้างขึ้นใช้ในภาษาไทยอีกวิธีหนึ่ง โดยเปลี่ยนแปลงอักษรที่ประสมอยู่ใน
คำไทยหรือคำที่มาจากภาษาอื่นให้ผิดไปจากเดิม ด้วยวิธีตัด เติม หรือเปลี่ยนรูป แต่ยังคงรักษา
ความหมายเดิมหรือเค้าความเดิมอยู่
     แบบสร้างของการแผลงคำ
     การแผลงคำทำได้ ๓ วิธี คือ
     ๑. การแผลงสระ
     ๒. การแผลงพยัญชนะ
     ๓. การแผลงวรรณยุกต์
๑. การแผลงสระ เป็นการเปลี่ยนรูปสระของคำนั้น ๆ ให้เป็นสระรูปอื่น

ตัวอย่าง
คำเดิม
คำแผลง
คำเดิม
คำแผลง
ชยะ
ชัย
สายดือ
สะดือ
โอชะ
โอชา
สุริยะ
สุรีย์
วชิระ
วิเชียร
ดิรัจฉาน
เดรัจฉาน
พัชร
เพชร
พิจิตร
ไพจิตร
คะนึง
คำนึง
พีช
พืช
ครหะ
เคราะห์
กีรติ
เกียรติ
ชวนะ
เชาวน์
สุคนธ์
สุวคนธ์
สรเสริญ
สรรเสริญ
ยุวชน
เยาวชน
ทูรเลข
โทรเลข
สุภา
สุวภา
๒. การแผลงพยัญชนะ
     การแผลงพยัญชนะก็เช่นเดียวกับการแผลงสระ คือ ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวเกิดจาก
ความเจริญของภาษา การแผลงพยัญชนะเป็นการเปลี่ยนรูปพยัญชนะตัวหนึ่งให้เป็นอีกตัวหนึ่ง หรือเพิ่มพยัญชนะลงไปให้เสียงผิดจากเดิม หรือมีพยางค์มากกว่าเดิม หรือตัดรูปพยัญชนะ การศึกษาที่มาของถ้อยคำเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจความหมายของคำได้ถูกต้อง

ตัวอย่าง
คำเดิม
คำแผลง
คำเดิม
คำแผลง
กราบ
กำราบ
บวช
ผนวช
เกิด
กำเนิด
ผทม
ประทม, บรรเทา
ขจาย
กำจาย
เรียบ
ระเบียบ
แข็ง
กำแหง, คำแหง
แสดง
สำแดง
คูณ
ควณ, คำนวณ, คำนูณ
พรั่ง
สะพรั่ง
เจียร
จำเนียร
รวยรวย
ระรวย
เจาะ
จำเพาะ, เฉพาะ
เชิญ
อัญเชิญ
เฉียง
เฉลียง, เฉวียง
เพ็ญ
บำเพ็ญ
ช่วย
ชำร่วย
ดาล
บันดาล
ตรัย
ตำรับ
อัญชลี
ชลี, ชุลี
ถก
ถลก
อุบาสิกา
สีกา
๓. การแผลงวรรณยุกต์
     การแผลงวรรณยุกต์
     การแผลงวรรณยุกต์เป็นการเปลี่ยนแปลงรูป หรือเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ เพื่อให้เสียงหรือ
รูปวรรณยุกต์ผิดไปจากเดิม

     ตัวอย่าง
คำเดิม
คำแผลง
คำเดิม
คำแผลง
เพียง
เพี้ยง
พุทโธ
พุทโธ่
เสนหะ
เสน่ห์

บ่
คำซ้ำ
     คำซ้ำ คือ การสร้างคำด้วยการนำคำที่มีเสียง และความหมายเหมือนกันมาซ้ำกัน เพื่อเปลี่ยน แปลงความหมายของคำนั้นให้แตกต่างไปหลายลักษณะ
     ๑. ความหมายคงเดิม คือ คำที่ซ้ำกันจะมีความหมายคงเดิม แต่อาจจะให้ความหมายอ่อนลง หรือไม่แน่ใจจะมีความหมายเท่ากับความหมายเดิม เช่น ตอนเย็น ๆ ค่อยมาใหม่นะ รู้สึกจะอยู่แถว ๆ นี้ละ คำว่า เย็น ๆ และ แถว ๆ ดูจะมีความหมาย อ่อนลง
     ๒. ความหมายเด่นขึ้น เฉพาะเจาะจงขึ้นกว่าความหมายเดิม เช่น สอนเท่าไหร่ ๆ
ก็ไม่จำ พระเอกคนนี้ ล้อหล่อ เป็นต้น
     ๓. ความหมายแยกเป็นส่วน ๆ แยกจำนวน เช่น กรุณาแจกเป็นคน ๆ ไปนะ จ่ายเป็น
งวด ๆ (ทีละงวด) เป็นต้น
     ๔. ความหมายบอกจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น เด็ก ๆ ชอบวิ่ง เธอทำอะไร ๆ ก็ดูดีหมด เป็นต้น
     ๕. ความหมายผิดไปจากเดิม เช่น เรื่องหมู ๆ แบบนี้สบายมาก (เรื่องง่าย) รู้เพียงงู ๆ
ปลา ๆ เท่านั้น (รู้ไม่จริง) เป็นต้น
คำซ้อน
     คำซ้อน คือ คำประสมชนิดหนึ่งที่เกิดจากการนำเอาคำตั้งแต่สองคำขึ้นไปซึ่งมีเสียง
ต่างกัน แต่มีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันหรือเป็นไปในทำนองเดียวกันมาซ้อนคู่ กัน เช่น เล็กน้อย ใหญ่โต เป็นต้น ปกติคำที่นำมาซ้อนกันนั้น นอกจากจะมีความหมายเหมือนกัน หรือใกล้เคียงกันแล้ว มักจะมีเสียงใกล้เคียงกันด้วย เพื่อให้ออกเสียงง่าย สะดวกปาก คำที่นำ มาซ้อนแล้วทำให้เกิดความหมายนั้นแบ่งเป็น ๒ ลักษณะ คือ
     ๑. ซ้อนคำแล้วมีความหมายคงเดิม คำซ้อนลักษณะนี้จะนำคำที่มีความหมายเหมือนกัน
มาซ้อนกัน เพื่อขยายความซึ่งกันและกัน เช่น ข้าทาส รูปร่าง ว่างเปล่า โง่เขลา เป็นต้น
     ๒. ซ้อนคำแล้วมีความหมายเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
          ๒.๑ ความหมายเชิงอุปมา  คำซ้อนลักษณะนี้จะเป็นคำซ้อนที่คำเดิมมีความหมาย เป็นรูปแบบเมื่อนำมาซ้อนกับความหมายของคำซ้อนนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นนามธรรม เช่น
     อ่อนหวาน อ่อนมีความหมายว่าไม่แข็ง เช่น ไม้อ่อน หวานมีความหมายว่ารสหวาน เช่น
ขนมหวาน
     อ่อนหวาน มีความหมายว่าเรียบร้อย น่ารัก เช่น เธอช่างอ่อนหวานเหลือเกิน หมายถึง กิริยาอาการที่แสดงออกถึงความเรียบร้อยน่ารัก
     คำอื่น ๆ เช่น ค้ำจุน เด็ดขาด ยุ่งยาก เป็นต้น
          ๒.๒ ความหมายกว้างออก คำซ้อนบางคำมีความหมายกว้างออกไม่จำกัดเฉพาะ ความหมายเดิมของคำสองคำที่มาซ้อนกัน เช่น
     เจ็บไข้ หมายถึง อาการเจ็บป่วยของโรคต่าง ๆ และคำว่า พี่น้อง ถ้วยชาม ทุบตี ฆ่าฟัน เป็นต้น
          ๒.๓ ความหมายแคบเข้า คำซ้อนบางคำมีความหมายเด่นอยู่คำใดคำหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นคำหน้าหรือคำหลังก็ได้
                เช่น ความหมายเด่นอยู่คำหน้า ใจดำ หัวหู ปากคอ บ้าบอคอแตก
                    ความหมายเด่นอยู่คำหลัง หยิบยืม เอร็ดอร่อย น้ำพักน้ำแรง
                    ว่านอนสอนง่าย เป็นต้น
ตัวอย่างคำซ้อน ๒ คำ เช่น บ้านเรือน สวยงาม ข้าวของ เงินทอง มืดค่ำ อดทน เกี่ยวข้อง เย็บเจี๊ยบ ทรัพย์สิน รูปภาพ ควบคุม ป้องกัน ลี้ลับ ซับซ้อน เป็นต้น
ตัวอย่างคำซ้อนมากกว่า ๒ คำ เช่น
               ยากดีมีจน เจ็บไข้ได้ป่วย ข้าวยากหมากแพง
               เวียนว่ายตายเกิด ถูกอกถูกใจ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
               ฉกชิงวิ่งราว เป็นต้น
สรุป
     ๑. แบบสร้างของคำ คือ วิธีการนำอักษรมาผสมคำ และมีความหมายที่สมบูรณ์ คำ ชนิดต่าง ๆ เหล่านี้มีชื่อเรียกตามลักษณะแบบสร้างของคำ เช่น คำมูล คำประสม คำสมาส คำสนธิ
     แบบสร้างของคำมูลและคำประสม คือ วิธีการสร้างคำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลักษณะเฉพาะ ของภาษาไทย แบบสร้างของคำมูลอาจมีพยางค์เดียวเป็นคำโดด หรือมีหลายพยางค์ก็ได้ แต่คำมูลนั้นเมื่อแยกพยางค์แล้วแต่ละพยางค์ไม่ได้ความหมายครบถ้วน ต้องนำพยางค์ เหล่านั้นมารวมกัน จึงจะเกิดเป็นคำและมีความหมาย ส่วนคำประสม คือคำที่เกิดจาก การนำคำมูลมาประสมกันเพื่อสร้างคำใหม่ขึ้นมา
     ๒. คำสมาสมีลักษณะดังนี้ (๑) ต้องเป็นคำที่มาจากภาษาบาลี สันสกฤต (๒) พยางค์ สุดท้ายของคำนำหน้าประวิสรรชนีย์หรือตัวการันต์ไม่ได้ (๓) เรียงต้นศัพท์ไว้หลัง ศัพท์ประกอบไว้หน้าเมื่อแปลความหมายให้แปลจากหลังไปหน้า (๔) ส่วนมากออกเสียงสระ ตรงพยางค์สุดท้ายของคำหน้า ซึ่งจะมีคำยกเว้นไม่กี่คำ เช่น ชลบุรี สุพรรณบุรี ฯลฯ
     ๓. แบบสร้างของคำสนธิ มีดังนี้ (๑) ต้องเป็นคำที่มาจากบาลี สันสกฤต (๒) มีการ เปลี่ยนแปลงระหว่างคำที่เชื่อม (๓) พยางค์ต้นของคำหลังต้องขึ้นต้นด้วยสระ หรือ ตัว อ
     ๔. คำแผลงคำที่สร้างขึ้นใช้ในภาษาไทยวิธีหนึ่ง โดยเปลี่ยนแปลงอักษรที่ประสม อยู่ในคำเดิมให้ผิดไปจากเดิม ด้วยวิธีตัดเติมหรือเปลี่ยนรูป แต่ยังรักษาความหมายเดิม หรือเค้าความเดิมอยู่
     แบบสร้างคำแผลงมี ๓ วิธี คือ (๑) การแผลงสระ เช่น คติ แผลงเป็น คดี และนู้น แผลงเป็น โน้น (๒) การแผลงพยัญชนะ เช่น กด แผลงเป็น กำหนด อวย แผลงเป็น อำนวย
(๓) การแผลงวรรณยุกต์ เช่น โน่น แผลงเป็น โน้น นี่ แผลงเป็น นี้ เป็นต้น
     ๕. คำซ้ำ คือ การสร้างคำด้วยการนำคำที่มีเสียง และความหมายเหมือนกันมาซ้ำกัน เพื่อเปลี่ยนความหมายของคำนั้นให้แตกต่างไปหลายลักษณะ
     ๖. คำซ้อน คือ คำประสมชนิดหนึ่งที่เกิดจากการนำเอาคำตั้งแต่สองคำขึ้นไป ซึ่งมีเสียง ต่างกัน แต่มีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันหรือเป็นไปในทำนองเดียวกัน มาซ้อนคู่กัน

ที่มา /http://netdao2415.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น